นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

แชงกรีลา ย่าติง ลี่เจียง

17-26 ตุลาคม 2557



ที่ริมหนิวไหน่ไห่นี้เราเจอฝูง "กวางผา" อีกครั้งแบบเต็มตา ที่เนินเขาค่อนข้างชันด้านหนึ่งมีอยู่ราว ๒๐ กว่าตัวหากินอยู่ แล้วก็มีอีกห้าหกตัวเข้ามาสมทบโดยเดินตัดหน้านักท่องเที่ยวอย่างไม่เกรงกลัว บางตัวเดินใกล้จนแทบจะเอื้อมไปตีตูดมันได้ ใครจะดูจะถ่ายรูปด้วยกล้องโทรศัพท์ก็ถ่ายได้สบาย ๆ เดินกันไม่เกรงใจเลนส์กูเลย

พอได้เห็นในระยะใกล้ ผมจึงสังเกตเห็นว่า เขาของพวกนี้ไม่ใช่เขาแบบแพะ เพราะหน้าตัดไม่เป็นวงกลม ดูคล้ายเขาของพวกแกะ แต่เขาก็มีการบิดหักมุมคล้ายทรงไลร์ แสดงว่าไม่ใช่แกะด้วย แล้วมันคือตัวอะไร ไม่รู้แล้ว กลับบ้านค่อยไปค้นเอาก็แล้วกัน







เรายืนอยู่ที่ริมหนิวไหน่ไห่แป๊บเดียวก็เดินต่อ เหตุหนึ่งเพราะยืนดูริมบึงไม่สวย ต้องมองจากมุมสูงไกล ๆ แล้วเป้าหมายของเรายังเหลืออีกไห่หนึ่ง นั่นคืออู่เซ่อไห่ พวกเราทยอยมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายถัดไป ซึ่งต้องเดินข้ามสันเขาสันหนึ่งไป

ผมเดินไต่ขึ้นมานิดเดียว ไม่ทันได้เหนื่อยก็ถึงสันเขาแล้ว พอยืนที่สันเขา อู่เซ่อไห่ก็อยู่ข้างหน้าเต็มตาเลย ไม่คิดว่าจะอยู่ใกล้ขนาดนี้ น่าเสียดายแทนจิกับมิ้นที่ขอตัวลงเขาไปก่อนหลังมาถึงหนิวไหน่ไห่ ถ้ารู้ว่าใกล้อย่างนี้จะชวนให้เดินมาด้วย

เรายืนชมอู่เซ่อไห่อยู่ที่บนยอดสันเขานั้นเอง ไม่ได้ลงไปใกล้ ๆ และคิดว่าถึงลงไปก็คงไม่ได้สวยไปกว่านี้

หนิวไหน่ไห่จากมุมสูง มองจากทางเดินขึ้นไปอู่เซ่อไห่








โบกมืออย่างผู้พิชิต


กินอย่างผู้พิชิต




โดนอาการแพ้ความสูงเล่นจนแทบกระอัก แต่ก็ยังผ่านมาได้






นักท่องเที่ยวที่อู่เซ่อไห่และหนิวไหน่ไห่มีไม่มากนัก อยู่ในระดับหลักสิบ ต่างจากเส้นทางช่วงแรก ๆ ที่มีกันหลายร้อยคน แสดงว่ามีนักท่องเที่ยวบางส่วนซึ่งคงเป็นส่วนใหญ่เดินมาไม่ถึง กลับลงเขาไปก่อน นั่นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่เราจะชื่นชมในความสำเร็จของตัวเองที่พาสังขารมาถึงปลายทางนี้ได้

"เป็นไงล่ะเฮีย เท้งบอกแล้วว่าจะเก็บสองไห่ได้" เท้งพูดขึ้นมาเหมือนทวงคำบางคำจากผม

"เออว่ะ เอ็งทำได้ ไอ้เท้ง ขอถอนคำพูดละกัน"

เราเฉลิมฉลองความสำเร็จอยู่ราว ๔๐ นาที ถึงเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งก็เริ่มลงเขา





ฝูงล่อที่รอผู้โดยสารอยู่ที่ริมหนิวไหน่ไห่






สัตว์ปริศนาตัวนี้คือ ยั่นหยาง (岩羊) แปลตรงตัวว่าแพะผา ฝรั่งเรียก blue sheep ภาษาฮินดีเรียก ภรัล (Bharal) แม้จะมีชื่อท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับทั้งแพะและแกะ แต่ก็ไม่ใช่แพะและไม่ใช่แกะ พอจะถือว่าเป็นญาติกันได้เพราะอยู่ในวงค์ย่อยเดียวกับแพะและแกะ อยู่ต่างสกุลกันเท่านั้น ตัวไม่ใหญ่มาก ความสูงเท่าเอวคน รูปร่างเช่นเดียวกับแพะ แต่ค่อนข้างล่ำสันกว่า ตัวผู้ตัวเมียคล้ายกัน ต่างกันที่ตัวเมียเขาสั้นกว่าและแถบข้างตัวเป็นสีเทา ส่วนตัวผู้เขาใหญ่และแถบข้างลำตัวมีสีดำ ไม่มีเครา ไม่มีต่อมหัวตาและต่อมกลิ่นที่อื่น ถิ่นอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงในจีนรวมถึงทั่วทั้งที่ราบสูงทิเบต นอกจากนี้ยังพบได้ในเนปาล ปากีสถาน และอินเดีย สีสันลำตัวมีสีเทาเป็นหลัก บางตัวอาจมีสีอมน้ำเงิน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบลูชีป ที่หน้าขาทั้งสี่เป็นสีดำ ส่วนหลังขาเป็นสีขาวครีม เขาของยั่นหยางซึ่งเป็นที่มาของความงงงวยของผมก็น่าสนใจ ยั่นหยางมีเขาทั้งตัวผู้ตัวเมีย เขาเมื่อเริ่มงอกจะชี้ขึ้นคล้ายเขาแพะ เมื่อวัยมากขึ้นจะเขาจะเริ่มหักโง้งไปด้านหลังพร้อมกับแบะออก











แม้การเดินขาลงจะง่ายกว่าขาขึ้น แต่เราก็ใช้เวลานานถึงสองชั่วโมงกว่าจึงมาถึงลั่วหรง เหตุหนึ่งก็เพราะมีนกเยอะ มาทีก็หยุดถ่ายรูปที เราเดินถึงจุดขึ้นรถกอล์ฟเอาตอนเกือบหกโมงเย็น ทันรถกอล์ฟคันสุดท้ายอย่างฉิวเฉียด อดคิดไม่ได้ว่านักท่องเที่ยวที่ตามหลังเรามาที่ยังมีอีกจำนวนหนึ่งจะกลับย่าติงชุนยังไง อาจต้องเดินกลับเอาเอง ซึ่งไกลถึงร่วมสิบกิโลเลยทีเดียว



ตัวนี้มาแทะเมล็ดพืชจากขี้ล่อที่ปลายเท้าผมเลยทีเดียว


เส้นหงิก ๆ นี่ไม่ใช่หนอนนะ มันคือเส้นมาม่า




ลงมาถึงที่ราบทุ่งลั่วหรงแล้ว




ยังทันเห็นแสงแดดสุดท้ายทาบยอดเขา




เราออกจากลั่วหรงพร้อมกับที่แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันลับไป ผมนั่งรถกอล์ฟที่เบาะหลังสุด หันหน้าไปทางท้ายรถ จึงมองเห็นเซี่ยนั่วตัวกู่ได้ถนัดตา ขณะที่รถกอล์ฟวิ่งไปตามถนน ป่าและลำธารสองข้างทางแทบไม่เหลือแสงแล้ว แต่ที่สุดสายตายังคงเห็นภูเขาหิมะเซี่ยนั่วตัวกู่ยืนเด่นฉายแสงสุดท้ายของวันอย่างยิ่งใหญ่ ผมจ้องมองภาพภูเขาที่อยู่ตรงหน้าจนกระทั่งลับไหล่เขาไป เชื่อว่าทุกคนในรถตอนนี้ก็อยู่ในอาการเดียวกันนั่นคือ หมดเรี่ยวหมดแรง แต่ท่ามกลางความเหนื่อยอ่อนก็มีรอยยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงประสบการณ์จากการเดินในวันนี้

ช่วงเวลาแห่งรอยยิ้มของผมคงสั้นกว่าคนอื่น ระหว่างที่นั่งรถบัสอุทยานเพื่อกลับไปที่ย่าติงชุน ผมเปิดรีวิวภาพของกล้องเพื่อให้มิ้นดูภาพที่เพิ่งถ่ายมา แต่ระหว่างที่เลื่อนหาภาพ ก็เกิดอาการวิงเวียนคลื่นไส้อย่างฉับพลันไม่ทราบสาเหตุ แล้วผมก็อยู่ในอาการเป็นคนป่วยแบบนั้นจนถึงย่าติงชุนเลย

เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เซงกับเอ๋ซึ่งมาถึงก่อนแล้วบอกว่า วันนี้เกือบไม่มีที่นอนอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้บอกเจ้าของโรงแรมให้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่าจะพักในคืนที่สองด้วย เซงบอกว่าเขาย้ายสัมภาระของพวกเราออกเตรียมจะให้คนอื่นเข้าพักแทนแล้ว ดีว่าเซงกลับมาก่อนจึงได้ห้ามและอธิบายได้ทันว่าจะพักต่อ เราจึงได้พัก แต่ต้องเสียค่าที่พักในคืนนี้คนละ ๑๐๐ หยวน สาว ๆ ได้ที่นอนเดิม มีเพียงชายสี่เท่านั้นที่ต้องย้ายฟากมานอนปนกับพวกคนจีน

ถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว เหนื่อย ๆ แบบนี้มื้อนี้คงฟาดกันพุงกางแน่ ๆ ก่อนที่เราจะเปิดเป้หยิบมาม่า จิบ่นว่าเบื่อมาม่าแล้ว กินมาหลายมื้อติดกันจนตัวจะเป็นเส้นอยู่แล้ว ออกไปกินที่ร้านข้างนอกกันเหอะ มื้อนี้เราจึงได้กินอาหารที่ไม่ใช่อาหารแห้งเป็นครั้งแรกในรอบสองวัน เรามากินกันที่ร้านเล็ก ๆ ร้านหนึ่งห่างจากโรงแรมนิดเดียว มีโต๊ะแค่ไม่กี่ตัวและแสงไม่ค่อยมี เซงกับเอ๋กินมาแล้วจึงไม่ได้ลงมา ส่วนต่อมีอาการแพ้ความสูงหนักก็ไม่ได้ลงมาด้วย ส่วนผมอยู่ในสภาพย่ำแย่ ได้แค่ไปนั่งดูคนอื่นกินและถือไฟฉายส่องโต๊ะอำนวยความสะดวกให้คนอื่น ชิมแค่ชิ้นสองชิ้นพอ อาหารมื้อนี้อร่อยจนเราคิดจะมากินอีกในเช้าพรุ่งนี้ เท้งสั่งอาหารล่วงหน้าไว้เลย บอกเจ้าของร้านว่าพรุ่งนี้เจ็ดโมงจะลงมา

สันนิษฐานว่าอาการคลื่นไส้เฉียบพลันที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากการเลื่อนดูภาพหลังกล้องหลายภาพในขณะที่กล้องไม่ได้อยู่ในระยะชัด ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่แว่นด้วย ระหว่างเดินไปชิงวาไห่เมื่อวันก่อนก็มีอาการแบบนี้เหมือนกันแต่ไม่รุนแรงเท่าวันนี้ ตอนนั้นก็มีอาการตอนที่เลื่อนดูภาพหลังกล้องเหมือนกัน แต่เลื่อนดูแค่ไม่กี่ภาพ วันนี้รุนแรงกว่าเพราะเลื่อนดูหลายสิบภาพ

คืนนี้ฟ้ามีเมฆนิดหน่อย แต่ก็ยังเห็นดาวเต็มฟ้า เห็นนักท่องเที่ยวจีนยืนถ่ายรูปดาวอยู่ตรงลานหน้าโรงแรม ใกล้กับมุมที่เราใช้เป็นที่ขับถ่าย งั้นปล่อยให้เขาถ่ายรูปต่อไปก็แล้วกัน

มื้อค่ำ "ไช่ตัวตัว" แสนอร่อย


เผยแพร่ : 16 พ.ย. 64 แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ย. 65