นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

แชงกรีลา ย่าติง ลี่เจียง

17-26 ตุลาคม 2557



เช้านี้มีนักท่องเที่ยวเป็นร้อยคนเดินกันเพ่นพ่านทั่วทุ่งลั่วหรง พวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งในฝูงคนพวกนั้นด้วย ดูโน่นดูนี่สะเปะสะปะไปเรื่อย ที่ลั่วหรงมีมุมสวยให้ถ่ายรูปเยอะ ตอนแรกผมคิดว่าพวกเราคงต้องการเสพความงามของลั่วหรงสักครู่ก่อนแล้วค่อยออกเดินกัน แต่ครู่น้อยของเราก็ยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนผ่านไปชั่วโมงครึ่งพวกเราก็ยังคงอยู่ที่เดิม กว่าจะเคลื่อนทัพไปสู่เป้าหมายหลักก็ปาเข้าไป ๑๑ โมงกว่าแล้ว

เป้าหมายในวันนี้คือ หนิวไหน่ไห่กับอู่เซ่อไห่ที่ต้องเดินจากลั่วหรงไป ๔.๙ กิโลเมตร และต้องไต่ระดับขึ้นไป ๓๐๐ เมตรจากระดับความสูง ๔,๐๐๐ กว่าเมตร เป็นเส้นทางที่ต้องเหนื่อยอีกวันหนึ่ง หากใครไม่อยากเหนื่อย ก็เที่ยวที่ลั่วหรงอย่างเดียวก็ยังไหว ลั่วหรงกว้างขวางเตร็ดเตร่ได้ทั้งวันอยู่แล้ว เอ๋เลือกที่จะเดินลั่วหรง คนอื่นตกลงจะเดิน ส่วนเซงหายไปไหนแล้วไม่รู้ ป่านนี้ถึงไห่แล้วมั้ง

ช่วงแรกของการเดินสับสนนิดหน่อย เพราะสถานที่กว้างขวาง ทำให้เส้นทางเดินไม่ชัดเจน ไม่รู้ไปทางไหน บางเส้นก็พาไปตันที่ลำธาร จึงใช้วิธีเดินตามคนหมู่มากไป เพราะยังไงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่นี่ก็ต้องการเดินไปสองไห่นั่นอยู่แล้ว

ยิ่งสาย เมฆก็เริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณยอดเขา




















ช่วงประมาณหนึ่งกิโลเมตรแรกของทางเดิน เส้นทางยังเป็นทางราบเพราะยังอยู่ในส่วนของทุ่งลั่วหรง เมื่อเดินอ้อมเขาไป เส้นทางก็เริ่มไต่ระดับขึ้นช้า 







วันนี้พวกเราเดินกันช้ามาก เวลาผ่านไปนับชั่วโมงก็ยังไม่พ้นเขตลั่วหรงเลย ดูแล้วเหมือนกับเป็นการเดินเล่นเสียมากกว่าที่จะเดินไปให้ถึงเป้าหมาย จนน่าเป็นห่วงว่าทั้งวันคงจะไปไม่ถึงไหน สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะยังเหนื่อยล้าจากเมื่อวาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ ผมบอกว่าถ้ายังเดินเอื่อยเฉื่อยแบบนี้ เราคงไม่ได้อะไรเลยเป็นแน่ ขอให้เดินเร็วกว่านี้หน่อยเถอะ ไม่ต้องเร่ง แต่อย่าอู้ก็พอ ให้ไปเรื่อย ๆ อย่างนี่เราก็น่าจะได้สักไห่นึง

"เท้งตั้งใจจะเก็บให้หมดสองไห่เลย"

"ทุ้ย! ไห่เดียวให้มันได้ก่อนเหอะ" ผมกล่าวให้กำลังใจเท้งก่อนที่จะพากันออกเดินต่อไป

เราพักกินอาหารกลางวันที่กลางทาง ซึ่งก็คืออาหารแห้งและผลไม้ที่พกมา ผมกินได้แค่คำสองคำก็ต้องหยุดกลางคัน เพราะมีคลื่นนกพัดผ่านมา จึงต้องคว้ากล้องตามเก็บ เสียเวลาไปพักใหญ่ กว่าจะกลับมาที่จุดพักกินข้าว เพื่อนพ้องก็กินเสร็จเดินไปล่วงหน้าก่อนนานแล้ว เหลือเพียงติ๋วที่ยืนเฝ้ากระเป๋าให้เท่านั้น ส่วนของกินไม่เหลือแล้ว ไม่เป็นไร ไม่หิวเท่าไหร่ ว่าแล้วก็เดินตามเขาไป

เพิ่งเริ่มต้นเองนะเฮ่ย แล้วคุยฟุ้งว่าเดินมาร้อยแปดขุนเขา






ช่วงไหนที่พื้นมีน้ำไหลผ่าน ก้อนหินจะเป็นสีเขียว


เดินอยู่ดี ๆ เจ้าตัวนี้ก็โผล่มาจากซอกหิน หันซ้ายหันขวา แล้วก็กลับหลังลงซอกหินไป ดูหน้าตาแล้วน่าจะเป็นเพียงพอนเหลือง




เส้นทางที่เราเดินนี้ เป็นทางบนไหล่เขา มีลำธารไหลตัดผ่านบ้าง ทั้งคนทั้งล่อใช้เส้นทางเดียวกัน ตามพื้นจึงมีขี้ล่อเกลื่อนกลาด ต้องเดินระวัง เส้นทางบางส่วนก็ชันและคดเคี้ยว สำหรับคนที่เดินคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่คนที่นั่งล่อจะน่าหวาดเสียวมาก ความรู้สึกช่วงลงชัน ๆ เหมือนจะคะมำไปข้างหน้าตลอดเวลา ช่วงที่น่าหวาดเสียวสำหรับคนเดินมีเพียงช่วงเดียวคือช่วงที่เส้นทางต้องไต่ขึ้นเขาผ่านลำธารที่ดูเหมือนน้ำตกเล็ก ๆ ต้องหากิ่งไม้ยึดให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นคงมีลื่นกันบ้าง และถ้าเบรกไม่อยู่ก็ตกเขา





เส้นทางเดิน ส่วนใหญ่เลาะไปตามหุบเขา ขนานกับลำธาร ซ้ายขวาเป็นเขา บางช่วงก็เป็นผาหินชันแบบนี้


มองแหงนไปทางขวาจะเป็นภูเขาหิมะ เสี่ยนไหน่รื่อก็อยู่ในกลุ่มเขานี้








สภาพสองข้างทางที่เราเดินอยู่ในตอนนี้ คือทางเดินที่เลาะไปตามซอกเขา ด้านขวาเป็นเขาสูง ด้านซ้ายเป็นหุบที่มีลำธารอยู่ลึกลงไป มองไม่เห็นสายน้ำ ได้ยินเพียงเสียงน้ำแว่วมาเข้าหูเป็นบางครั้งบางคราว อีกฟากของหุบคือหน้าผาชันระเกะระกะขนานกับลำน้ำ ผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็นึกในใจว่า นี่มันเป็นลักษณะถิ่นที่อยู่ของพวกกวางผานี่หว่า แอบฝันหวานว่าน่าจะมีกวางผาโผล่มาสักตัวสองตัวนะ คิดได้แบบนี้ก็ลองกวาดสายตาดูหน้าผาฝั่งตรงข้ามแบบพินิจพิจารณาเสียหน่อย เผื่อจะมี แล้วก็เหมือนมีฟ้าผ่ามากลางหัว ตรงจุดที่ตรงข้ามกับที่เราเดินอยู่ มีสัตว์คล้ายกวางผาเดินอยู่สองตัว ไม่สิ มีสาม มีสี่ ห้า ไม่รู้แล้ว นับไม่ถูก ทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามหน้าผาห่างจากเราไปไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ตอนนั้นหัวใจผมแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตั้งสติได้คว้ากล้องขึ้นมา ติดเลนส์ ๔๐๐ มม. แล้วยิงกระหน่ำ นักท่องเที่ยวจีนคนอื่นที่เห็นอาการของพวกเราก็เริ่มมองตามบ้าง แล้วก็ชี้ไม้ชี้มือถ่ายรูปกันใหญ่

ว่าแต่นี่มันตัวอะไร ในตอนนั้นผมนึกอะไรได้ไม่มาก เห็นสัตว์สี่เท้าที่เดินตามหน้าผา ก็ต้องนึกถึงสัตว์พวกแพะป่าไว้ก่อน ซึ่งผมรู้จักแค่สองอย่างคือเลียงผากับกวางผา เลียงผาตัดไปได้เพราะเลียงผาสีดำ ตัวนี้สีเทา มันอาจจะเป็นกวางผาก็ได้นะ ดูจากทรงเขาก็ชี้ขึ้นแบบแพะ หรือถ้าให้คิดว่าเป็นสัตว์ชนิดอื่น ก็จนปัญญาในขณะนั้น ในโลกนี้จะมีเลียงผาชนิดอื่นอีกกี่ชนิดก็ไม่รู้ ยังไงตอนนี้เรียกกวางผาไปก่อน เผื่อจะใช่ เห็นคนจีนที่ชี้ไม้ชี้มือดูเรียกซันหยาง ก็จำ ๆ ไว้ก่อน เขาเรียกถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะคนนั้นก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกับเรา เขาอาจจะเรียกมั่วก็ได้ หากคนไทยที่ไม่รู้เรื่องสัตว์มาเห็นแบบนี้เขาก็คงเรียกแพะภูเขาเหมือนกัน

วินาทีหยุดโลก


อาซิ้มคนหนึ่งที่เดินสวนมาตะโกนบอกนักท่องเที่ยวที่กำลังถ่ายรูป "กวางผา" ว่า อย่าเสียเวลาตรงนี้เลย ข้างหน้าตรงริมทะเลสาบหนิวไหน่ไห่มีไอ้แบบนี้เต็มไปหมด ฟังดูแล้วก็ยิ่งอยากไปเห็นเร็ว ๆ เราจึงเดินมุ่งหน้าต่อไป ส่วนพวก "กวางผา" ที่อยู่คนละซีกหุบเขาก็เดินสวนไป ผมเก็บอาการลิงโลดไว้ในใจแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป

นึกดูแล้วก็อดขำไม่ได้ ตอนเดินที่ลั่วหรงเมื่อคราวก่อน พอเห็นลำธารใสแล้วนึกถึงนกมุดน้ำ ไม่ทันไรก็นกมุดน้ำก็โผล่มาให้เห็น ครั้งนี้เห็นหน้าผาแล้วนึกถึงกวางผา แล้วก็มีสัตว์คล้ายกวางผามาให้เห็น ราวกับสั่งได้จริง ๆ ถ้ามาอีกครั้งน่าจะลองนึกถึงเสือดาวหิมะบ้าง

เราเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็เจอเซงสวนมาพอดี เซงเดินไปครบสองไห่ตั้งแต่ก่อนบ่ายแล้ว จึงขอเดินลงก่อน บอกว่าสองไห่อีกไม่ไกล เดินอีกนิดเดียวก็ถึง









หุบเขาเริ่มลดความชัน รู้สึกถึงที่ราบขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าใกล้ ๆ นี้ น่าจะถึงแล้ว




หันกลับไปมองเส้นทางที่เราเดินมา


นั่นไง ถึงแล้ว




หนิวไหน่ไห่เป็นบึงน้ำรูปค่อนข้างกลม ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นรูปไห่นี้ในเน็ตมาก่อน ดูจากภาพคิดว่ามีขนาดราวสองสนามบาสเท่านั้น แต่พอเห็นเข้าจริง ๆ มีขนาดใหญ่ถึงสามสี่สนามฟุตบอลเลยทีเดียว

แม้จะมีอาการปวดหัวตลอดวัน มิ้นก็ยังเดินมาจนถึง


ที่ริมหนิวไหน่ไห่มีเจ้าพวกนี้เพียบจริง ๆ ด้วย


เผยแพร่ : 16 พ.ย. 64 แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ย. 65