นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

แชงกรีลา ย่าติง ลี่เจียง

17-26 ตุลาคม 2557



ซู่เหออยู่ห่างจากเมืองเก่าลี่เจียงไปทางเหนือราวสิบกว่าโล เป็นเหมือนลี่เจียงย่อส่วน มีหลายอย่างเหมือนกัน วัฒนธรรมท้องถิ่นก็คือวัฒนธรรมน่าซีเหมือนกัน งานช่าง งานฝีมือ สถาปัตยกรรมก็แทบไม่ต่างกัน ทั้งลี่เจียงและซู่เหอได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมคู่กัน บางทีการมาซู่เหออาจทำให้คนที่อยากเห็นวัฒนธรรมน่าซีแต่ผิดหวังจากความอึกทึกที่ลี่เจียงได้รับความประทับใจกลับไปบ้างก็ได้

น่ายินดีที่ซู่เหอวันนี้ไม่ต่างจากที่เคยเห็นมากนัก นักท่องเที่ยวไม่มาก ท้องถนนมีที่ว่างพอที่จะให้มีรถม้าบริการ ผับบาร์มีบ้าง แต่ก็ไม่หนวกหู ตามซอกซอยยังคงมีช่างเงินนั่งทำงานส่งเสียงโป๊กเป๊กอยู่แทบทุกซอย



ไม่ได้หิวกาแฟ แค่อยากเก็บข้อมูลเรื่องการเขียนป้ายด้วยภาษา Chinglish




ร้านเครื่องเงิน ที่มีช่างตีเงินหน้าร้าน ยังคงมีอยู่
















สินค้าที่วางขายที่นี่ไม่ต่างจากที่ลี่เจียงนัก มีเป้าหมายน่าสนใจหลายอย่างที่ผมอยากกลับมาดูอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าผมเซ่อหรือแผนที่ซู่เหอเขียนไว้ไม่ดี ดูไม่รู้เรื่อง จับทิศจับทางอะไรแทบไม่ได้เลย วันนี้จึงเน้นหนักไปทางเดินมั่วเสียมากกว่า พวกเราแยกย้ายกันเดินตามอัธยาศัย นัดมาเจอกันที่ตรงประตูทางออกตอนบ่ายสอง













ถึงตอนเที่ยง ท้องก็เริ่มร้องแล้ว ปัญหาว่าจะกินอะไรไม่สำคัญเท่ากับจะสั่งยังไง ตอนนี้ผมเดินอยู่กับติ๋วสองคน คนสั่งเป็นไม่อยู่ ดีที่ไปเห็นร้านขายเนื้อย่างอยู่พอดี มีโต๊ะให้นั่งกินด้วย เป็นของที่สั่งง่ายเลยสั่งกินมันตรงนั้นเสียเลย มีน้ำมะม่วงรสชาติดีแกล้ม พอกินเนื้อย่างคนละสองสามไม้ เซง มิ้น และเอ๋ ก็ตามมาเจอพอดี เลยมาร่วมวงเนื้อย่างด้วยอีกพักนึง แล้วไปต่อที่ร้านไก่ทอดที่อยู่ใกล้ 

มื้อกลางวัน




ระบบแช่เย็นน้ำขวดสุดเท่ ที่ยังพบได้ที่ซู่เหอที่เดียว


















จำได้ว่าที่ชานเมืองมีทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่ามทั้งทุ่งสูงเท่าคน อยากจะไปถ่ายรูปอีก แต่เดินเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ยังดีที่คลำหาทางข้ามสะพานไปเดินยังเขตหมู่บ้านเชิงเขาได้ ที่นี่ผมพาติ๋วไปดูสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมชอบซู่เหอ นั่นคือแปลงผักกลางหมู่บ้าน แต่พอติ๋วเห็นเข้าก็ถึงกับขำกลิ้ง ว่าพามาดูแปลงผักเนี่ยนะ ไม่รู้ขำอะไรนักหนา คนอุตส่าห์ภูมิใจเสนอ

ซอยที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางชาม้า ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางสายไหมฉบับทิเบต เราก็หาไม่เจอ ทั้งที่จำได้ว่ามันอยู่เชิงเขานี่เอง



แปลงผักกลางเมือง ยังคงมีอยู่




ระบบจัดการน้ำด้วยบ่อสามตอน ไม่ได้ไปดูในลี่เจียง ดูของซู่เหอเอาก็ได้


สะพานชิงหลง อายุเก่าแก่ถึง ๔๐๐ กว่าปีแล้ว ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในย่านลี่เจียง มีขนาดใหญ่กว่าต้าสือเฉียวในเมืองเก่าลี่เจียงเสียอีก


ซื่อฟางเจีย จัตุรัสกลางของซู่เหอ


ตอนแรกนึกว่าป้ายบอกว่าห้ามถ่ายภาพ ต้องเปิดดิกดูถึงรู้ว่าเป็นป้ายห้ามจอดรถในที่ห้ามจอด ฝ่าฝืนเจอถ่ายรูปเป็นหลักฐานจับปรับ




ตอนนั่งแท็กซี่มาจากลี่เจียงเมื่อเช้า เซงถามโชเฟอร์ถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักท่องเที่ยวทั่วไปนัก นั่นคือ อวี้หูชุน ถามว่าเป็นยังไง เที่ยวได้ไหม โชเฟอร์ตอบด้วยสำเนียงท้องถิ่นว่า "ยู่หูชุย น่ะเหรอ นั่นน่ะบ้านพ้มเอง" อ้าว บังเอิญจริง ๆ เขาบอกว่าน่าเที่ยวใช้ได้เลย ยังจะดีกว่าซู่เหอเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ บ่ายนี้เราจึงจะแวะไปอวี้หูชุนกัน อยู่ห่างจากซู่เหอไม่ไกล

ระหว่างทางไปอวี้หูชุน




อวี้หูชุน หรือหมู่บ้านอวี้หู เป็นหมู่บ้านขนาดย่อมราว ๒๐๐ กว่าหลังคาเรือน ตั้งอยู่ชิดตีนเขามังกรหยก เป็นชุมชนเก่าแก่มาก เกิดขึ้นก่อนการสร้างเมืองซู่เหอและลี่เจียงเสียอีก จุดเด่นของหมู่บ้านนี้คือ ผนังบ้านจะก่อด้วยก้อนหินผสมโคลน ดูสวยเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่น



ป้าอ้อยไปสอยหนังสืออักษรตงปามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้




เมื่อราวเกือบร้อยปีก่อน นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายออสเตรียคนหนึ่ง ชื่อ โจเซฟ ร็อก ได้เดินทางมาถึงลี่เจียงเพื่อศึกษาและเก็บตัวอย่างพรรณไม้ โจเซฟประทับใจและหลงใหลเสน่ห์ของสถานที่และผู้คนที่นี่มาก จนถึงกับหันมาศึกษาวัฒนธรรมน่าซีอย่างจริงจังแทน โจเซฟส่งผลงานกลับไปยังเนชันแนลจีโอกราฟิก และได้ตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสิบปี งานเขียนของโจเซฟนี่เองที่ทำให้ฝรั่งเริ่มรู้จักวัฒนธรรมน่าซีจากแดนอันลี้ลับนี้

หนึ่งในบุคคลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนของโจเซฟอย่างมากก็คือ เจมส์ ฮิลตัน ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดแรงบันดาลใจนี้ผ่านจินตนาการออกมาเป็นนิยายที่ชื่อว่า "ลอสต์เฮอไรซอนส์" ในนิยายเรื่องนี้ เจมส์ได้เนรมิตดินแดนลับแลแห่งหนึ่ง ชื่อของเมืองนั้นก็คือ "แชงกรี-ลา" ที่ผู้คนคุ้นหูและนำไปใช้กันทั่วโลกนั่นเอง

โจเซฟ ร็อก อาจไม่ใช่ฝรั่งคนแรกที่เข้ามาที่ลี่เจียง แต่เขาเป็นคนแรกที่ศึกษาวัฒนธรรมน่าซีจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ โจเซฟปักหลักอยู่ที่นี่นานถึง ๒๗ ปี ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจีนผลักดันให้เขาต้องกลับอเมริกาไป

โจเซฟ ร็อก ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาน่าซีศึกษา เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นานที่ฮาวาย ถึงกระนั้น หัวใจของโจเซฟ ร็อก ก็ไม่เคยไปจากลี่เจียง ในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเขียนถึงเพื่อน เขาได้แสดงความปรารถนาที่จะใช้ลมหายใจสุดท้ายในบ้านที่เชิงเขาอวี้หลงเสวี่ยซันมากกว่าบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ในโฮโนลูลู

หมู่บ้านที่โจเซฟ ร็อกอาศัยอยู่นั้นก็คือ หมู่บ้านอวี้หู ที่เรามาเยือนวันนี้นั่นอง

บ้านที่โจเซฟ ร็อกเคยอาศัยอยู่ ได้รับการเก็บรักษาไว้ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ "บ้าน ดร. โจเซฟ ร็อก" ภายในมีการแสดงผลงาน ทั้งภาพถ่ายและหนังสือ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวบางส่วนที่เขาทิ้งไว้ มีอาม่าแก่ ๆ คนหนึ่งเป็นผู้ดูแล อาม่าคนนี้น่าจะอายุใกล้ ๘๐ ปีแล้ว ผมมองอาม่าแล้วจินตนาการว่า อาม่าอาจเกิดและโตที่นี่ อาจเคยใช้ชีวิตวัยเด็ก เคยวิ่งเล่นแถวหน้าบ้านของฝรั่งที่ชื่อ "ลั่วเก้อ" ผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้มาก่อน ตาลั่วเก้ออาจเคยแบ่งขนมให้ หรือไม่ก็เคยเปิดหน้าต่างออกมาดุเพราะว่าเล่นซนเสียงดัง

เสียดายที่ความสงสัยของผมไม่อาจถ่ายทอดมาเป็นคำถามได้ คนอื่นกลับออกไปนานแล้ว เหลือเพียงผมและมิ้นที่ออกทีหลังสุด ผมทำได้เพียงกล่าวคำลาต่ออาม่า อาม่าโบกมือส่งเราด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกผมว่า "ฉันมองออกรู้ว่าเธอคิดอะไร ฉันก็มีเรื่องจะเล่า แต่ไม่รู้จะบอกเธออย่างไร"





โชเฟอร์บอกว่า บ้านหลังทางขวานี่ อายุถึง ๒๐๐ ปีแล้ว




ประตูหน้าปิดอยู่




โรงเรียนประถม ตั้งอยู่ข้าง ๆ บ้านของโจเซฟนี่เอง มีชาวสิงคโปร์มาออกทุนสร้างให้




อัตราค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติคนละ ๔๐ หยวน แต่เขาคิดเราแค่ ๒๕ หยวน


เรือนหลังที่สาม ผมได้สิทธิ์เข้าไปเพียงคนเดียว


เผยแพร่ : 16 พ.ย. 64 แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ย. 65