นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

ล่องทะเลทรายโกบี คารวะจิ๋นซีที่ซีอาน เบิกบานใจเอ๋อจีน่า ลั้นลาฮั่วซาน

7-16 ตุลาคม 2556





















ไม่เห็นผลงาน จึงไม่รู้ฝีมือ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องท่วงท่า เอาไปเต็มสิบ












รู้ว่าหนาวแต่ก็พกมาแต่กางเกงแบบนี้




เท้ง, Canon EOS 70d, กับ EF 85mm f/1.8 ที่ยืมไก่มา






หลายคนให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าป่าป็อปลาร์นี้สวยกว่าที่ไปเมื่อวาน แม้ป่านี้จะไม่มีลำธาร ไม่มีสะพาน แต่ต้นไม้ที่นี่ลำต้นสวยกว่า พื้นล่างสะอาดกว่า ตอนแรกก็ทำท่าจะรีบเข้ามาถ่ายแล้วก็รีบออกไป แต่เอาเข้าจริงก็ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะกลับขึ้นรถอีกครั้ง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปสักพัก ผ่านหน้าประตูทางเข้าที่เขาทำไว้ ถึงได้รู้ว่านี่เขาเปิดให้เป็นที่เที่ยวนี่เอง ติดป้ายว่าค่าเข้าไปเที่ยวแค่ 10 หยวนเท่านั้น ต่างลิบลับจากป่าที่ไปเมื่อวาน ที่นั่นคิดค่าเข้าหัวละ 170 หยวนแน่ะ ไม่รู้ว่าสถานที่นี้เขาเรียกว่าอะไร แต่เรามักพูดถึงป่านี้ในชื่อ "ป่ามุดรั้ว"

เรากลับมากินมื้อเที่ยงในที่พัก ไม่ออกไปไหน เสบียงที่แบกมามีเยอะ ต้องกำจัดเสียบ้างไม่งั้นแบกกลับหนักฟรี กินเสร็จก็นอนพักผึ่งพุงตามอัธยาศัย รอบ่ายแก่ ๆ ค่อยออกไปเที่ยวอีกรอบ



ระดับมิ้นต้องสองห่อ






กล่องของผมเอง ช้อนไม่พอใช้ เท้งต้องไปยืมร้านอาหารข้าง ๆ มาสิบคัน ต้องวางเงินคันละหนึ่งหยวนด้วย






หลังอาหารก็พักผ่อนตามอัธยาศัย รอเวลาออกไปเที่ยวภาคเย็น


บ่ายวันนี้เรามาที่ เฮยเฉิง (黑城) ชื่อเมืองแปลตรง ๆ ว่าเมืองดำ แต่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีสีดำ เพียงแต่ตั้งชื่อตามแม่น้ำที่อยู่ใกล้เคียง คือ เฮยเหอ หรือ แม่น้ำดำ ซึ่งก็ไม่ได้มีสีดำอีกเช่นกัน แม่น้ำเฮยเหอเป็นหนึ่งในต้นน้ำของแม่น้ำหวงเหออันยิ่งใหญ่ของจีน











อารยธรรมในย่านเฮยเฉิงนี้อาจสืบย้อนหลังไปได้ถึงสองพันปี ส่วนเมืองเฮยเฉิงเองคาดว่าก่อสร้างขึ้นเมื่อราวพันปีก่อน เป็นเมืองของอาณาจักรตังกุต หรือเซี่ยตะวันตก เมืองนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภัยคุกคามจากมหาอำนาจรอบด้าน ทั้งจากจักรวรรดิ์คาราคีตันทางตะวันตก จักรวรรดิ์จีนทางตะวันตกเฉียงใต้ และจากมองโกลทางเหนือ ด้วยเหตุที่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใหญ่โตนัก จึงถูกมองโกลโจมตีและกลืนชาติไปในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 เมืองนี้รุ่งเรืองอยู่ได้ราว 150 ปีก่อนที่จะล่มสลายไปพร้อมกับอำนาจของมองโกล มีบันทึกว่ามาร์โคโปโล นักเดินทางชาวอิตาลีก็เคยแวะมาที่เมืองนี้ด้วย









































เสร็จจากเที่ยวเฮยเฉิงแล้วเราก็มาที่ ก้วยซู่หลิน (怪树林) หรือป่าแปลก ป่านี้อยู่ตรงริมทางเข้าไปที่เฮยเฉิง เราผ่านป่านี้ไปตอนที่เข้าไปเฮยเฉิง แต่ไม่ได้แวะ เพราะต้องการเที่ยวเฮยเฉิงก่อน แล้วค่อยกลับมาที่ก้วยซู่หลินปิดท้ายวัน

ก้วยซู่หลินคือซากป่าป็อปลาร์ เดิมทีอาจเคยเป็นป่าป็อปลาร์ที่สมบูรณ์ แต่จากความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมบางอย่าง จึงพากันยืนต้นตายซากกันทั้งดง ด้วยความที่ป็อปลาร์เป็นพืชทนทาน แม้ตายไปแล้ว ก็ไม่ล้มไม่ผุได้ง่ายนัก ประกอบกับลำตันที่สวยงาม แม้ตายไปแล้วก็ยังดูสวย โดยเฉพาะเมื่อต้องแสงยามเย็น นี่คือเหตุผลที่เราจัดตารางเวลาให้มาที่นี่ตอนเย็น

ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินกันยั้วเยี้ยหลายร้อยคน เราแยกกันเดินตามสบาย นัดให้มาเจอกันที่ทางเข้าหลังพระอาทิตย์ตกดิน









เวลามิ้นหิว ๆ เจออะไรก็จะกิน ต้องคอยห้ามปรามอยู่เสมอ














เซงเชี่ยวชาญมากเรื่องหม้อไฟ




หม้อใครหม้อมัน ไม่ใช่รวม ปรุงรสได้ตามใจชอบ เลือกได้ว่าจะเอาหมาล่าหรือไม่เอาหมาล่า


เครื่องปรุงเยอะมาก เลือกกันไม่ถูก หนึ่งในเครื่องปรุงที่ถูกใจผมมากอยู่ที่เหยือกทางซ้าย มันคือน้ำมันงา




หม้อไฟคืนนี้รสชาติงั้น ๆ ไม่ได้อร่อยอะไรมากนัก แต่เราก็ซัดกันอิ่มแปล้ เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างทางขากลับเรายังแวะมินิมาร์ตซื้อขนมซื้อผลไม้มากินต่อที่ห้องอีก เมื่อมาถึงห้อง อาม่าผู้ใจดีซึ่งคงเป็นแม่ของเจ้าของบ้านก็เอาฮามี่กัวและผลไม้หน้าตาแปลก ๆ เป็นจำนวนมากมาให้เรากินอีก คืนนี้ซัดกันพุงแตก















เผยแพร่ : 13 พ.ย. 56 แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 64