นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

ล่องทะเลทรายโกบี คารวะจิ๋นซีที่ซีอาน เบิกบานใจเอ๋อจีน่า ลั้นลาฮั่วซาน

7-16 ตุลาคม 2556



11 ตุลาคม 2556 (ต่อ)


มื้อกลางวันของเรากินง่าย ๆ ในป่าป็อปลาร์นั้นเอง เสบียงขนมนมเนยในเป้หอบมาเพียบ หลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จ เราก็ออกจากซานเต้าเฉียวเพื่อที่จะไปซื่อเต้าเฉียวต่อ แต่ไม่ได้เดินไป ซื่อเต้าเฉียวอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ต้องนั่งรถลำเลียงของทางอุทยานไป

































สมัยนี้คนที่นี่อยู่บ้านตึกแถวกันหมด ไม่มีใครอยู่กระโจมรูปลังถึงแบนนี้อีกแล้ว ถ้าเห็นกระโจมแบบนี้ที่ไหน นั่นหมายความว่าเขาสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น














ที่ซื่อเต้าเฉียวนี้เราต้องเดินแบบทำเวลา เพราะเกรงจะเย็นเกิน เดินซื่อเต้าเฉียวเสร็จก็ออกมานั่งรถของอุทยานอีกรอบเพื่อไปปาเต้าเฉียวซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร


รอขึ้นรถบัสเพื่อไปปาเต้าเฉียว


ปาเต้าเฉียวไม่ใช่ป่าป็อปลาร์ แต่เป็นเนินทราย สัญลักษณ์ของทะเลทราย คนที่มาเที่ยวที่นี่ ก็คือมาเดินย่ำทรายเล่น ดูอูฐเดินไปเดินมา และดูพระอาทิตย์ตก

ภาพถ่ายครบทีมเพียงภาพเดียวในทริป นับจากซ้ายไปขวา เบิ้ม, ตื๊ด, เท้ง, มิ้น, มก, เซง, ติ๋ว, จิ, อ้อย, ไก่ และคุ้ง (ภาพจากกล้องคุ้ง)


ป้ายเขียนให้ช่วยกันประหยัดน้ำ










































เม็ดทรายในเนินทราย ต่างจากเม็ดทรายชายหาด หรือทรายใต้ดิน เม็ดทรายที่นี่ละเอียดมาก เม็ดกลมและร่วน มีหลากสี เมื่อมองไกล ๆ เห็นเพียงทรายสีครีม แต่เมื่อดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าเม็ดทรายมีทุกสี ตั้งแต่ดำจนถึงขาว


เราอยู่ที่ปาเต้าเฉียวจนตะวันตกดิน แล้วจึงนั่งรถบริการกลับ นักท่องเที่ยวที่นี่มีมาก กว่าจะลำเลียงจนหมดก็ค่ำมืด ระหว่างรอรถโชคดีได้เห็นดาวเทียมดวงสว่างโร่ผ่านหัวไป มาตรวจสอบเอาภายหลังจึงรู้ว่าเป็นสถานีอวกาศนานาชาติ รถบริการพาเรามาส่งถึงที่ทางเข้าอีเต้าเฉียว ให้หาทางกลับเอาเอง ป่าป็อปลาร์อยู่แค่ชานเมืองเอง ปรึกษากันแล้วคิดว่าเดินหาของกินไปจนถึงที่พักน่าจะดี ที่พักอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครรู้ชัด แต่คิดว่าน่าจะเดา ๆ ได้ ถ้าหลงก็แค่โทรเรียกเจ้าของบ้านมารับเท่านั้นเอง ง่ายจะตายไป



เรื่องสั่งอาหารต้องปล่อยเซง










ห้องพักรวมของเราไม่ได้มีแค่แก๊งค์เราเท่านั้น ยังมีคู่สามีภรรยาชาวจีนอีกคู่หนึ่งพักอยู่ด้วย พอเขารู้ว่าเรามาจากเมืองไทยก็ดีใจมาก ถึงขั้นยกมือพนมสวัสดีเลยทีเดียว พูดคุยดูจึงรู้ว่าเขามาจากเซี่ยงไฮ้ ชอบเมืองไทยและคนไทยมาก มากถึงขนาดที่เที่ยวเมืองไทยมายี่สิบครั้งแล้ว เขาบรรยายถึงความประทับใจสารพัดที่เขาพบที่เมืองไทย คุยเรื่องสถานที่เที่ยวต่าง ๆ ที่ได้ไปมา ทั้งไทย ทั้งจีน โชว์รูปแทบจะถูกรูปที่มีอยู่ในโทรศัพท์ ทั้งอะไรอีกสารพัด แรก ๆ ก็เพลินดี แต่นานเข้าก็ชักเยอะ เจ๊แกพูดราวกับไม่ได้คุยกับใครมาแล้วเป็นปี ขนาดผมฟังไม่ออกก็ยังเหนื่อยแทน



ข้อมูลสำคัญอีกอย่างที่น่าจะมีประโยชน์จากเจ๊ช่างเจรจาคนนี้ก็คือ เกี่ยวกับสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวกันในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเรามีแผนจะไปที่ทะเลสาบจูหยันไห่กัน จุดเด่นของที่นี่ที่ดึงดูดผู้คนให้ไปชมก็คือ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เจ๊คนนี้ไปมาแล้ว บอกว่างั้น ๆ ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เมืองไทยดีกว่าเย้อ ได้ยินแล้วก็คิดหนัก การที่นักท่องเที่ยวไปที่จูหยันไห่มากก็ไม่แปลก เพราะคนจีนคลั่งไคล้การดูพระอาทิตย์ขึ้นมาก เห็นอะไรกลม ๆ ขึ้นมาก็วี๊ดว้ายกันแล้ว ผมเองน่ะเฉย ๆ กะเรื่องพระอาทิตย์ขึ้น ถ้ามาขึ้นให้ดูง่าย ๆ ก็ดูละนะ แต่ลองถ้าต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามืด แล้วดั้นด้นขับรถขับราเป็นสิบ ๆ กิโลเพื่อไปดู ก็ไม่ศรัทราเท่าไหร่ และตามแผนที่วางไว้ พรุ่งนี้เราจะทำอย่างนั้นเสียด้วยซี

แต่เอาน่ะ ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้จะทำอะไร ไปไหนไปกัน เผื่อจะดี

เผยแพร่ : 13 พ.ย. 56 แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 64