นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

ล่องทะเลทรายโกบี คารวะจิ๋นซีที่ซีอาน เบิกบานใจเอ๋อจีน่า ลั้นลาฮั่วซาน

7-16 ตุลาคม 2556



10 ตุลาคม 2556


อาลาซ่านจั่วฉีก็เป็นเมืองทางผ่านของเราเหมือนกัน เราไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ วันนี้เราต้องเดินทางไกล จากเมืองอาลาซ่านจั่วฉี ไปยังเมืองเอ๋อจีน่า ระยะทางเท่าไหร่จำไม่ได้ รู้แต่ว่า เส้นทางตัดผ่านทะเลทรายโกบี รถออกเวลาเก้าโมงครึ่ง ถึงทุ่มครึ่ง ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง เพลินล่ะท่าน วันนี้เราจะได้เห็นทะเลทรายเต็ม ๆ ตาเสียที

แม้อากาศยังไม่ถึงกับหนาว แต่คงจะแห้งมาก อาการหลายอย่างเริ่มบ่งบอก มือไม้เหี่ยวไปหมด ขาแข้งก็ผื่นขึ้นมาแล้ว







อะไรก็ไม่รู้ คล้ายหมั่นโถว ข้างในมีไส้ผัก รสชาติแย่






เกี๊ยวเนื้อแพะ รสชาติไม่ดี เนื้อเหม็นสาบ แต่ก็ฝืนกินกันจนหมด






เมื่อมีใครเอ่ยถึงทะเลทราย ภาพที่ทุกคนนึกขึ้นมาก็คือ สถานที่ที่เป็นผืนทรายล้วน ๆ ก่อตัวเป็นเนินทรายสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา รอบตัวมีแต่ทรายกับฟ้า อาจมีอูฐเดินสักสองตัว นี่เป็นภาพทะเลทรายตามที่เราเห็นบ่อย ๆ ทางโทรทัศน์ แต่ความจริงทะเลทรายไม่ใช่มีแต่ทราย พื้นที่ส่วนใหญ่ของทะเลทรายจะเป็นทุ่งหญ้า หรือทุ่งไม้พุ่มเตี้ย ๆ ส่วนที่เป็นเนินทรายล้วน ๆ นั้นมีเพียงส่วนน้อยของทะเลทรายเท่านั้น

ทะเลทรายโกบี เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของโลก ครอบคลุมพื้นที่ของประเทศมองโกเลียและตอนเหนือของจีน สภาพทะเลทรายของที่นี่เกิดจากการที่อยู่ในที่อับฝน เพราะเทือกเขาหิมาลัยบังลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดียไว้ ปริมาณฝนของที่นี่ต่ำมาก ปีหนึ่งมีเพียงสองร้อยกว่ามิลลิเมตรเท่านั้น จัดเป็นทะเลทรายที่เรียกว่า ทะเลทรายหนาว อุณหภูมิตอนกลางคืนในฤดูหนาวลงดิ่งสุดถึง -40 องศา

ตอนที่รู้ก่อนเดินทางว่าจะต้องเจอแต่ทะเลทรายตลอดทางเป็นเวลา 10 ชั่วโมง ผมก็คิดว่าช่วงนี้คงเป็นช่วงน่าเบื่อเป็นแน่แท้ ถนนหนทางคงจะขรุขระทุรกันดาร อาจตื่นเต้นกับทะเลทรายที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกสักสิบนาที ถ่ายรูปสักหน่อย จากนั้นก็นั่งเซ็งหัวสั่นหัวคลอนไปจนตลอดทาง แต่สิ่งที่ผมเจอในวันนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับที่คิดไว้เลย ภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย ทั้งแปลกตาและหลากหลาย ทำให้เกิดคำถามผุดขึ้นมาในหัวตลอดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ดูไปงงไป คิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร จำ ๆ ไปค้นคว้าต่อที่บ้านก็ได้ เหนื่อยก็พัก ง่วงก็หลับ ตื่นขึ้นมาก็ดูต่อ เวลามีเยอะแยะ พื้นถนนของเส้นทางนี้ก็เป็นถนนลาดยางอย่างดี รถวิ่งเรียบสนิท จะอ่านหนังสือ จะฟังเพลง ทำได้ตลอดเส้นทาง สบายจริง 



พืชพรรณที่ขึ้นบนทะเลทราย




ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ต้องมีกระจกปิดอย่างแน่นหนา เพื่อกันพายุทรายที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ และกันอากาศหนาวอันหฤโหดในฤดูหนาว














ถนนเส้นนี้อาจเป็นถนนที่ขับรถง่ายที่สุด พื้นถนนราบเรียบ แทบไม่มีทางโค้งหรือทางแยก แต่ก็น่าจะเป็นถนนที่ชวนง่วงที่สุด คนขับรถไกลไม่แข็งมีโอกาสหลับในได้ง่าย ๆ 




ข้าวหน้าเนื้อ รสชาติดีทีเดียว


แป๊บเดียวเกลี้ยงชาม


การเดินทางในภาคบ่ายผ่านไปไม่นานก็มีเหตุให้ต้องหยุดชะงัก ณ จุดหนึ่งไม่ห่างจากชุมชนขนาดเล็กกลางทะเลทราย มีการปิดช่องจราจรทั้งสองทาง กลางถนนมีทหารหลายคนยืนอยู่ มีรถพยาบาลทหาร มีโต๊ะตั้งกลางถนน บนโต๊ะมีแก้วน้ำพลาสติกใส่น้ำหลายใบวางไว้ มีกลองสีแดงใบหนึ่งตั้งอยู่บนไหล่ทาง สีหน้าทุกคนมองไปยังถนนที่ว่างเปล่าข้างหน้า เหมือนรออะไรสักอย่าง เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าเกิดอะไร









มิ้นบอกทีเล่นทีจริงว่า สงสัยมีงานวิ่งมาราธอน ดูสิ มีแก้วน้ำด้วย ผมก็แค่ขำ ใครจะมาบ้าจัดงานวิ่งเอาตรงนี้

ผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายบรรยากาศทั่วไปตอนนั้น แต่กลับถูกทหารคนหนึ่งร้องปราม แล้วปรี่เข้ามาบอกให้ลบด้วยท่าทางขึงขัง ผมต้องรีบลบแล้วเปิดให้ดูว่าลบเกลี้ยงแล้วจริง ๆ ท่าทางจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติเสียกระมัง คงไม่ใช่งานวิ่งถนนหรอก

เวลาผ่านไปไม่นาน ทุกอย่างก็กระจ่างชัด มีทหารนับร้อยคนวิ่งมาตามถนน ทุกคนอยู่ในชุดแบกอาวุธเต็มยศ หน้าอกติดแท็กนักกีฬา รองเท้าที่ใส่เป็นรองเท้าวิ่ง อ้าว นี่มันเป็นการแข่งวิ่งถนนจริง ๆ นี่หว่า คุ้งไปได้ข้อมูลมาว่า ทหารเขาจัดวิ่งฟันรันกัน ระยะทางห้ากิโลเมตร เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง

หลังจากทหารวิ่งผ่านไปสักพัก การจราจรก็เปิดให้รถราได้สัญจรกันตามปกติ พวกเราก็กลับขึ้นรถ เดินทางต่อไป นึกแล้วก็ขำแกมหงุดหงิด ว่าไอ้ทหารนั่นมันมาขึงขังใส่เราสั่งให้เราลบภาพทำไมวะ ทำยังกะเรื่องคอขาดบาดตาย แล้วตอนที่ทหารวิ่งเข้ามา นักท่องเที่ยวคนอื่นก็ถ่ายภาพกันเต็มไปหมด ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ กิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ไม่รู้จะห้ามถ่ายทำไม ไม่ได้โชว์กร่างแล้วจะขี้ไม่ออกหรือไง ถึงทหารจะไม่ใช่ทหารชาติเรา เราก็ยังชื่นชม อยากจะปรบมือให้กำลังใจ แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้เข้าเลยหมดอารมณ์ ไม่ปรบให้สักแปะ ไอ้เวรเอ๊ย 

















แม้จะกันดาร แต่ก็เดินสายได้เนี้ยบ








ท้องฟ้าวันนี้สดใส ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว และเส้นทางของเรามุ่งหน้าไปทางตะวันตกเกือบตลอดเส้นทาง เมื่อถึงเวลาเย็นจึงเห็นดวงอาทิตย์คล้อยลงใกล้ขอบฟ้าได้อย่างชัดเจน ผมคว้ากล้องไปนั่งยอง ๆ ที่ข้างคนขับเพื่อรอถ่ายรูปดวงอาทิตย์ คุ้งตามมาติด ๆ โชเฟอร์สูงวัยบอกว่า เดี๋ยวพอใกล้จะตกจริง ๆ จะจอดรถให้เราสองคนลงไปถ่ายรูปชัด ๆ นะ บ๊ะ เยี่ยมไปเลย ใจดีอะไรอย่างนี้ เราจึงได้ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดในการเดินทางครั้งนี้

นาน ๆ จะรู้สึกว่าเสาไฟฟ้าเป็นมิตรกับตากล้องเสียที พระอาทิตย์ตกก่อนไปถึงเมืองเอ๋อจีน่าไม่นาน


เราไปถึงเมืองเอ๋อจีน่าตอนหัวค่ำ เมื่อลงจากรถก็มีคนมาเสนอที่พักทันที เราถามไถ่ว่าห้องน้ำห้องส้วมมีไหม เขาก็ว่ามี ถ้ามีก็โอเค ตกลงตามนั้น ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปหาที่ไหน

ที่เราดั้นด้นข้ามทะเลทรายมาถึงที่เอ๋อจีน่า ก็เพราะที่นี่มีของดี นั่นคือป่าป็อปลาร์เปลี่ยนสี เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ต้นป็อปลาร์จะเปลี่ยนสีพร้อม ๆ กันจนเป็นสีเหลืองทั้งต้น ป่าป็อปลาร์ก็จะเป็นป่าสีเหลืองอร่าม ดูสวยงามแปลกตา และเมืองเอ๋อจีน่านี้ก็เป็นจุดชมป่าป็อปลาร์เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดของจีน

การที่เมืองนี้มีจุดขายอย่างเดียว และเป็นจุดขายที่มีฤดูกาลเพียงสั้น ๆ จึงไม่ค่อยมีใครมาลงทุนสร้างโรงแรมนัก ที่พักส่วนใหญ่ในเมืองนี้ก็คือเกสต์เฮาส์ รวมถึงที่ที่เราเข้าพักในคืนนี้ด้วย

มิ้นเหยียบกันชนข้างทีเดียวถึงกับหักเลย




ที่พักคืนนี้สภาพทั่วไปถือว่าใช้ได้ สะอาดสะอ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นก็มีให้ แต่.. ห้องส้วมนี่สิ เขาก็มีให้อย่างที่พูด แต่เห็นสภาพแล้วขี้ไม่ออกจริง ๆ หลายคนลงความเห็นว่า คืนวันรุ่งขึ้นเปลี่ยนดีกว่า วันนี้ค่ำแล้ว ฝืน ๆ ไป

ปากบอกว่าเห็นส้วมแล้วขี้ไม่ออก แต่ผมก็ยังจัดไปหนึ่งดอก

นั่งรถมานาน ก็ต้องคลายเมื่อยกันหน่อย


มื้อค่ำแบบสบาย ๆ มาม่าหลากหลายรส กุนเชียงจากจิ






เผยแพร่ : 13 พ.ย. 56 แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 64